เที่ยวปารีสกับเจ้าตัวน้อยห้าวันห้าคืน ตอนที่ 3 สนามบิน
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง พวกเราต้องตืนแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ฤดูร้อนจะขึ้น นั่นคือประมาณตีสี่
ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง รวมทั้งเจ้าน้องนีรที่หลับตามหน้าที่ หลังจากเตรียมตัวเสร็จก็ออกเดิน
ทางขึ้นรถบัส ลงรถไฟ ลงรถไฟอีก แล้วก็ขึ้นรถบัส ไปถึงสนามบินโดยสวัสดิภาพ การเช็คอินไม่มี
ปัญหาอะไร ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ถูกเช็คผ่านตู้ที่มีเจ้าหน้าที่คอยบริการ ซึ่งทำได้ถึงแม้ว่าเราจะต้อง
การเอารถเข็นเด็กลงท้องเครื่องบินก็ตาม เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกอย่างดี ภาพเดิมสมัยที่ต้อง
กลับเมืองไทยกันสามคนพ่อแม่ลูก โดยลูกชายวัยซนสนใจแต่การวิจัยสิ่งรอบข้างก็เกิดขึ้นอีก คราว
นี้เราเตรียมตัวดี โดยรีบไปที่ประตูสู่เครื่องบินให้เร็วที่สุดก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะมีแรงลุกขึ้นมา การ
ตรวจของขึ้นเครื่องบินยามนี้ต้องบอกว่าเคร่งมาก ถึงแม้เราจะเตรียมตัวอย่างดีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยัง
ตรวจอย่างละเอียด มีการส่งกลับถุงนมมาตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในเนื่องจากเอ็กเรย์แล้วไม่เห็น
อะไรนอกจากถุง กระเป๋าถูกค้นควักโดยเจ้าหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย กว่าจะผ่านได้ก็
หลายนาทีอยู่
การรอขึ้นเครื่องประมาณหนึ่งชั่วโมงสร้าง
ความน่าเบื่อพอประมาณ แต่โชคดีที่ที่พัก
ผู้โดยสารของสนามบินในเยอรมันดีมาก ๆ
(ไว้จะบอกทีหลังว่าไปเจออะไรแย่ ๆ ที่ปารีส
บ้าง) ผู้โดยสารไม่ต้องนั่งสับสนว่าจะไปรอ
ที่ไหน ป้ายบอกเที่ยวบินก็ชัดเจน เมื่อขึ้น
เครื่องเราก็ฝากรถเข็นไว้กับเจ้าหน้าที่ที่
หน้าประตูเครื่องบิน แล้วก็เข้าประจำที่นั่ง
สิ่งที่แตกต่างจากการเดินทางกลับเมืองไทย
คราวที่แล้วคือ น้องนีรเสียค่าโดยสารเต็มก็
เลยมีที่นั่งเฉพาะ และเราก็ได้นั่งที่นั่งแถวสามคนทำให้จะขยับเขยื้อน ลุกสนุกนั่งสบาย จะไปไหนก็
ไม่ต้องนัดแนะกัน และคอยรบกวนคนที่นั่งข้าง ๆ ตลอดเที่ยวบิน และทันทีที่นั่งเรียบร้อยแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็เอาของเล่นมาไว้ให้เราหลอกล่อน้องนีร ซึ่งจำเป็นมากเพราะเด็กวัยซนจะต้องนั่งอยู่ใน
ที่ ๆ กำหนดชั่วโมงกว่า ๆ
อีกอย่างหนึ่งที่ดีกว่าสำหรับสายการบินราคาไม่ถูกนักอย่าง Lufthansa ก็คือมีอาหารว่างที่เรา
จงใจเรียกว่าอาหารเช้าบริการนอกเหนือจากเครื่องดื่มตามปกติ คือมีขนมปังแข็ง ๆ ประกบแฮม
เสิร์ฟพร้อมช็อกโกแล็ตแท่งในซองพลาสติกพอกิน มันก็พอที่จะลดความหิวลงได้บ้าง เจ้า
น้องนีรปฏิเสธของกินบางอย่าง ทำให้พ่อเขาต้องรับของกินเหล่านั้นมาด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
สนามบิน Charles de Gaulle สนามบินนานาชาติที่ใหญ่อันดับหนึ่งในยุโรปในแง่ของจำนวน
เที่ยวบิน ซึ่งนอกจากจะใหญ่ เก่า แล้วยังโทรมอีกด้วย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างและออกแบบ
ได้ประทับใจสำหรับผู้ที่มาเยือนอย่างยิ่ง กล่าวคือถ้าเลือกได้ก็ไม่ขอมาอีก แต่ถ้าพูดถึงความงงแล้ว
ก็ยังดีกว่าสนามบิน Frankfurt แห่งชาติเยอรมันนิดหน่อย ความประทับใจแรกก็คือไม่มีเจ้าหน้าที่
เอารถเข็นเด็กมาให้ที่ประตูทางออกเครื่องบินแต่อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ ๆ สนามบินไหนเขาก็ทำกัน
ด้วยความสงสัยเราก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่ารถเข็นเด็กเราอยู่ไหน ทั้งสองเจ้าหน้าที่ทำหน้างง ๆ
พร้อมชี้ไปทางโน้น
แบบส่งเดช ไม่มีทางเลือกเราก็เดินไปตามทางที่มีป้ายบอกทางไปรับสัมภาระ
ผ่านทางเลื่อนที่ต้องลงแล้วก็ขึ้นซึ่งแทนที่จะ
ทำให้เป็นระนาบเดียวกัน (เราจะพบทางเดินที่
มีลักษณะแบบนี้ได้อีกในทุก ๆ ที่ เช่นทางเดิน
ในชานชลารถไฟใต้ดิน) เราผ่านบรรไดเลื่อนที่
เป็นทางราบที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมาถึงจุดรับ
ของที่ยืนยันว่าเที่ยวบินของเราจะส่งของมาที่
นี่ กว่ากระเป๋าของเที่ยวบินที่เรานั่งจะมาถึง ก็
กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ซึ่งนับว่าผิดแผน
อย่างมาก โดยแผนแล้วเราต้องการจะออกจาก
สนามบินในทันทีที่มาถึง ไม่งั้นก็ไม่ต้องแบก
กระเป๋าขึ้นเครื่องให้เหนื่อยทำไม และแล้วเวลาที่น่าปิติก็มาถึง สัมภาระจากเครื่องบินของเราก็มาถึง
ผู้คนรอบข้างเริ่มทยอยรับกระเป๋าไปทีละคนสองคน และเวลาที่น่าตกใจก็มาถึง สายพานหยุดแล้วแต่
ไม่มีรถเข็นของน้องนีร เราสอบถามกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษามือปนภาษาที่เจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจ เขาชี้
ที่ป้ายบอกว่าการลำเลียงของมานั้นยังไม่ครบถ้วนให้อดใจรออีกหน่อย ก็ยังดีที่มีคุณยายแก่ ๆ อีก
คนยังคงยืนรอของเป็นเพื่อนเราอยู่ ทำให้เราไม่ต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยวไปหาของยังสำนักงาน สัก
พักเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หายอีกไปปล่อยให้เราสองคนพ่อแม่กังวลใจยิ่งขึ้น ถึงเวลานี้เจ้าน้องนีรก็เริ่มรู้
ตัวว่าเขาอยู่ในระเบียบนานเกินไปแล้ว กระเป๋าเดินทางที่หนักราว ๆ สิบเอ็ดกิโลก็เป็นเหยื่อรายแรก
และเมื่อรออีกประมาณสิบนาทีเจ้าหน้าที่คนเดินกลับมาพร้อมกับรถเข็นของน้องนีรและรถเข็นของคุณ
ยาย จะด้วยเหตุและผลใด ๆ ก็ตาม เราและคุณยายก็ยังอดดีใจกับการได้ของรักกลับคืนมาไม่ได้
ตามแผนพ่อเราควรจะนั่งรถ RER ไปยังโรงแรมที่พัก แต่แม่น้องนีรยืนยันว่าอย่างไรก็ต้องมีรถบัส
ไปยังใจกลางเมืองปารีสแน่ ๆ และค่าโดยสารจะต้องถูกกว่า (ค่ารถไฟ RER จากสนามบินไป
ใจกลางปารีสราคาประมาณ 8 ยูโรต่อเที่ยวต่อคน) หลังจากที่สอบถามกับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว
ว่าเราสามารถนั่งรถบัสสาย 350 ไปถึง Porte de La Chapelle (อ่านว่า พอร์ต เดอ ลา ชาแพล)
ได้ เราก็เดินผ่านทางเดินในสนามบินที่ไม่วก
แต่วนไปยังทางออกที่ยี่สิบ แล้วก็หาทางออก
ไปท่ารถบัสอีกหลายสิบนาที เมื่อไปถึงป้าย
รถบัสซึ่งก็เหมือนกับที่เยอรมันคือมีป้ายบอก
เวลาที่ชัดเจน ทั้งวันธรรมดา วันหยุด แต่เราก็
พลาดจนได้ เพราะวันที่เราไปถึงเป็นเช้าวัน
เสาร์ ทั้ง ๆ ที่เราสามารถอ่านป้ายที่เราจะไป
ลงได้ถูกต้อง แต่เราไม่รู้ว่าวันเสาร์ใน
ภาษาฝรั่งเศสเขียนว่าอย่างไร และในสภาพที่
หนาวเหน็บอย่างคาดไม่ถึง รวมทั้งมีฝนพรำ ๆ ก็ทำให้การหาคำตอบของคำถามที่ไม่ได้เตรียมคำ
ตอบไว้ของสามคนพ่อแม่ลูกไม่สนุกเอาซะเลย และในขณะที่สาระวนกับการหาคำตอบอยู่นั้น ก็มีหนุ่ม
ใหญ่ชาวฝรั่งเศสข้าง ๆ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ น่าสงสัยอยู่ที่ป้ายรถเมล์เดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น