เที่ยวปารีสกับเจ้าตัวน้อยห้าวันห้าคืน ตอนที่ 4 รถเมล์กับโรงแรม
ที่แท้เจ้าหนุ่มใหญ่คนนั้นก็พึ่งมาจากกรุงเทพฯ นั่นเอง พอเห็นคนไทยเข้าก็ตื่น ๆ เราเองก็ดีใจไม่ใช่
น้อยที่เห็นคนที่พึ่งมาจากเมืองไทย อย่างน้อย ๆ ก็มั่นใจได้ว่าเจ้าคนนี้ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ แม่
น้องนีรไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้าไปทักทายว่าพึ่งมาจากกรุงเทพฯ เหรอ (แม่น้องนีรรู้ได้จากป้ายที่ติดที่
กระเป๋าเดินทางที่เขียนว่า BKK) คุยกันได้สองสามคำเราก็ถามว่าจะไป Porte de La Chapelle
เนี่ยรอที่ป้ายนี้ใช่ไหม แล้วนั่งรถสายอะไร ยังไม่ทันจะตอบก็มีรถเมล์สาย 351 มาจอด ไอ้หนุ่มนั่นก็
กระโดดขึ้นรถไปเลยหล่ะ เราก็เลยตะโกนถามว่าแล้วเราไปได้ไหม พ่อหนุ่มก็พยักหน้ารับคำอย่างมั่น
ใจสุด ๆ ว่าไปได้ ผมทำหน้าที่ไปซื้อตั๋วในขณะที่แม่น้องนีรเอารถเข็นขึ้นรถที่กลางคันรถ โดยส่ง
ภาษากับคนขับว่าตั๋วสองใบไป Porte de La Chapelle ด้วยความมั่นใจสุดขีด คนขับก็ตอบด้วย
ความมั่นใจสุดขีดโดยการส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่ ไม่ ให้รอรถบัสคันต่อไป เป็นอันว่าการขึ้นรถเมล์ใน
ปารีสหนแรกของเรานั่นใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ต้องลงแล้ว ไอ้หนุ่มนั่นหันมาทำหน้าสำนึกผิดกับเราเล็ก
น้อย ก่อนที่รถเมล์สาย 351 จะวิ่งออกไปพร้อมกับคำด่าเล็กน้อยติดไปกับไอ้หนุ่มปารีสคนนั้น
หลังจากนั้นประมาณสิบหน้านาที รถเมล์สาย 350 ก็ตีรถเปล่ามารับเราที่ป้าย ตรงตามเวลาที่เขียนไว้
ในตารางเดินรถพอดิบพอดี (เรามาดูป้ายทีหลัง แล้วใช้วิธีฟันธงว่ามันต้องเป็นตารางไหน) เมื่อผมซื้อ
ตั๋วโดยจ่ายเป็นแบ็งค์ยี่สิบยูโร ได้รับมาเป็นตั๋วสี่เหลี่ยมใบเล็ก ๆ สีม่วงสี่ใบและแน่นอนเงินทอนไว้นับ
ทีหลังตามภาษาผู้ชาย ก่อนที่จะไปสมทบกับแม่น้องนีรผมก็ต้องปั๊มตั๋วกับเครื่องข้าง ๆ คนขับสำหรับ
ตั๋วทั้งสี่ใบก่อน เมื่อนับเงินทอนแล้วปรากฎว่าเราจ่ายไปแค่ 5 ยูโรสี่สิบเซ็นต์ แม่น้องนีรยิ้มน้อยยิ้ม
ใหญ่เพราะนั่นทำให้เราประหยัดเงินได้มากทีเดียว (ตั๋วรถไฟ RER เข้าตัวเมืองปารีส เที่ยวละ 8 ยูโร
ต่อคน) เรานั่งสบายอารมณ์กันอยู่นาน ในขณะที่น้องนีรก็นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ในรถเข็น
อย่างสงบ คงตื่นเต้นไม่น้อยกับความแปลกใหม่รอบข้าง เส้นทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองปารีสนั้น
ต้องขอบอกว่าแย่เอามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นทางราบ แต่เราก็รู้สึกเหมือนกำลังขึ้นเขาไปน้ำตกทีลอซู
อย่างไงอย่างงั้นเลย ทุก ๆ ห้านาทีคนขับจะต้องเลี้ยวรถเป็นรูปตัวเอสวกไปวนมา เลี้ยวทีรถเอียงวูบ
ชวนให้ปล่อยข้าวเช้าออกมาทุกที ถึงตอนนี้เราก็ดีใจที่บนเครื่องเราได้รับอาหารว่างไม่ใช่อาหารเช้า
เวลาได้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังมีอยู่สองอย่างที่ไม่เปลี่ยน คือทั้งรถมีเราเพียงสามคนพ่อแม่
ลูก และคนขับก็ยังขับรถเป็นตัวเอสทุก ๆ ห้านาทีเหมือนเดิม ผมหันไปพูดกับแม่น้องนีรว่า นี่เหมือน
คนขับรถเมล์เขาตีรถเปล่าไปรับเราเลยนะเนี่ย แม่น้องนีรยิ้มโดยเหมือนกับจะบอกว่านี่ฉันต้องดีใจ
หรือเสียใจดีหล่ะเนี่ย
รถโล่ง ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่ามีฝูงชนที่ทยอยขึ้นรถมาเรื่อย ๆ แล้วจากรถเมล์ก็กลายเป็นปลากระป๋อง
ในที่สุด เมื่อคนแน่นและก็ใกล้เวลาจะต้องลงแล้วแต่รถเมล์ยังวิ่งอยู่บนซุปเปอร์ไฮเวย์อยู่เลย ก็ทำให้
เราอดตกใจไม่ได้ แต่โชคดีที่รถเมล์ในประเทศฝรั่งเศสจะมีข้อมูลบอกป้ายที่จอดติดอยู่ตลอดตัวรถ
เราก็เริ่มมองที่ป้ายข้างทางว่าเป็นป้ายอะไร แล้วก็เอามาเทียบกับป้ายบนรถเมล์ เมื่อรู้ป้ายที่แน่นอน
เราก็เลยได้นั่งสงบอยู่ในกระป๋องต่อไป พอถึงป้ายก่อนสุดท้าย เราก็ทำใจดีลุกขึ้นเพื่อเตรียมลง ที่
ไหนได้รถเมล์เลี้ยวออกซุปเปอร์ไฮเวย์อีกครั้ง กว่าจะถึงที่หมายก็กินเวลาไปอีกเกือบสิบนาที
Porte de La Chapelle เป็นป้ายรถไฟใต้ดิน
ป้ายสุดท้ายของปารีสเหนือ และยังเป็นจุด
ตัดของถนนใหญ่หลายสาย จุดที่เราลงรถใน
แผนที่จะเห็นเป็นรูปตัว M ซึ่งเป็นจุดลงรถไฟ
ใต้ดิน ส่วนโรงแรม Suite นั้นในแผนที่จะ
เป็นรูปสี่เหลี่ยมสีเลือดหมูมีขีดสีเหลืองสาม
ขีดที่ไม่สวยเอาเสียเลย เรามองเห็นโรงแรม
อยู่ลิบ ๆ แล้ว แต่ยังไม่รู้จะไปอย่างไร เพราะ
มีถนนใหญ่ไขว้กันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวขวาง
อยู่ทางข้ามถนนก็ไม่มี เราตัดสินใจข้ามถนน
ไปยังฝั่งเดียวกับโรงแรมก่อน แล้วค่อยหา
ทางข้างทางไปยังโรงแรมอีกที ข้างถนนจุด
ที่กำลังงงและเสี่ยงที่จะหลงทางอยู่นั้น จะ
ด้วยบุญของเจ้าน้องนีรหรือพ่อมันก็ไม่รู้ มีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มจูงจักรยานข้ามถนนมาพอดี ไม่ได้มา
ให้เราถามทางหรอก แต่ทำให้เรารู้ว่าถ้าจะไปโรงแรมก็ต้องไปตามทางจักรยานนี่แหละ แต่อย่างไร
ก็ตามถึงจะเป็นทางจักรยานมันก็เป็นทางจักรยานที่อันตรายเอาการอยู่ เพราะไม่มีสัญญาณไฟ
และพาดผ่านจุดตัดของถนนสองเส้น ไม่มีทางเลือกเราเข็นรถเข็นและลากกระเป๋าไปตาม
ทางจักรยาน ลอดใต้สะพานและข้ามทางม้าลายอีกสองแห่งก็ถึงโรงแรม เดินไปเราก็บ่นกันไปว่า
ที่นี่สกปรกและมั่วไปหมด ไม่ได้ดีไปกว่ากรุงเพทฯ เลย ผู้คนก็ไม่ค่อยมีระเบียบวินัยแม้แต่การ
ข้ามถนนตรงทางข้าม
โรงแรม Suite จะต้องอ่านออกเสียง ซู อีด พูดเร็ว ๆ ก็จะกลายเป็นสวีทไป สภาพโรงแรมด้านหน้านั้นไม่ค่อยดีนัก ติดถนนและแคบ ห้องโถงก็ไม่โล่ง ทำให้เราเริ่ม
รู้สึกว่าโรงแรมสามดาวแห่งนี้จะแย่เหมือน ๆ กันที่เราเคยเจอ
มาแต่เมื่อเราถึงห้องพักแล้วก็ผิดคาด ด้วยราคาห้องแค่ห้าสิบ
หกยูโรที่มีทุกอย่างครบครัน ทั้งเครื่องทำน้ำร้อน ตู้เย็น
ไมโครเวฟโทรทัศน์ที่มีช่อง Sky TV ภาษาอังกฤษ ห้องน้ำ
ใหญ่ที่มีทั้งอ่างอาบน้ำและห้องอาบน้ำ ในขณะที่มีห้องปลด
ทุกข์แยกออกไปอีกห้อง ทุกห้องมีอ่างล้างมือพร้อม ทำให้
การพักสี่คนไม่มีปัญหา โรงแรมมีบริการน้ำดื่มและชา กาแฟ
พร้อมแก้วให้ฟรีพอดื่มหนึ่งครั้งสองคน แต่สิ่งที่จำเป็นมากแต่
ที่โรงแรมไม่มีก็คือทีล็อกประตูห้องอาบน้ำ อย่าว่าแต่ที่ล็อก
เลย ประตูก็เป็นบานพับ มีช่องใหญ่ตรงกลางเพียงพอให้ส่อง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อ่างอาบน้ำก็ไม่มีม่านปิด มารู้ทีหลัง
จากเพื่อนน้อยว่าโรงแรมที่ฝรั่งเศสส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้
เวลาผ่านไปอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเพียงพอให้ผมหลับพร้อมกับเจ้าตัวน้อยได้หนึ่งตื่น เพื่อนน้อยของแม่
น้องนีรก็มาถึง เธอไม่มามือเปล่า แต่มาพร้อมกับกระเป๋าเสบียงสี่มิติ ที่เต็มไปด้วยข้าวสารอาหารแห้ง
และขนม ที่สำคัญคือหมูทอด และที่นึกไม่ถึงคือน้ำพริกกะปิพร้อมเครื่องเคียง ได้ความว่าเนื่องจากจะ
ไม่อยู่ที่พักตั้งสี่วัน ของในตู้เย็นจึงถูกนำมาด้วยทั้งหมด และเราทั้งสามคนกับเจ้าตัวน้อย ก็จัดการข้าว
หมูทอด แกล้มน้ำพริกกะปิจนอิ่มแปร้ และก็ร่วมยินดีกับแมนยูฯ ที่สามารถเอาชนะแมนซิตี้ได้ 1-0 ใกล้
แชมป์เข้าไปทุกขณะ นับเป็นข่าวดีมากสำหรับผมก่อนที่จะไปท่องบ่ายในมหานครปารีสต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น