West Germany - Luxemburg -Belgium Trip - ตอนที่ 3
- West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 1
- West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 2
จากตอนที่หนึ่งซึ่งไม่มีเนื้อหาอะไร มาถึงตอนที่สองก็พาเที่ยว Düsseldorf เมืองที่ไม่มีอะไร มาถึง
ตอนนี้ จะเป็นตอนที่จะเล่าถึงการเดินทางหนึ่งวันสามประเทศ จากเมืองที่มีโบสถ์ที่สูงที่สุดในโลก
และมีผลิตภัณฑ์ ในตำนานอย่างน้ำหอม 4711 ของคนรุ่นพ่อที่คนรุ่นลูกก็ยังรู้จัก จากนั้นเราก็จะนั่ง
รถไฟต่อไปยังประเทศ ที่เป็นตำนานแห่งเมาคลีล่าสัตว์ ประเทศขนาดจุ๋มจิ๋ม จากนั้นกลางดึกของคืน
วันเดียวกันเราสี่ชีวิตก็พากันไป ยังเมืองหลวงของยุโรป ประเทศที่บางคนอาจจะคิดว่ามีป้ายหลาย
ภาษาเพื่อบริการนักท่องเที่ยว แต่ที่จริง แล้วเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันภายในชาติของคนที่มา
จากต่างประเทศแม่ เบลเยี่ยมนั้นมาจากสอง ประเทศคือฝรั่งเศสกับเนเธอร์แลนด์ คนสองกลุ่มนี้แม้จะ
อยู่ชาติเดียวกันแต่พูดกันคนละภาษาและไม่ถูกกัน เวลาสื่อสารกันระหว่างกลุ่มพวกเขาก็จะใช้ภาษา
อังกฤษกัน ไม่น่าเชื่อ!
ข้างบนคือภาพถ่าย Cologne(Köln) Dom อันเลื่องชื่อจากภายนอกหน้าต่างรถไฟ เพื่อนชาวปากีฯ
บอกว่าเขาไม่ชอบหรอกไปเที่ยวเมืองในยุโรป ทุกที่เหมือนกันหมดคือ สถานีรถไฟ โบสถ์ใหญ่แล้วก็
จบ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น Köln(Cologne) น่าจะสะท้อนภาพของของสิ่งที่เพื่อนคนนั้นกล่าวได้เป็น
อย่างดี
เราออกจาก Düsseldorf มายัง Köln โดยตั๋วรัฐราคาสามสิบกว่ายูโรสำหรับห้าคน (เรามีสามคนกับ
อีกหนึ่งตัว) พอมาถึง Köln พวกเราก็นึกขึ้นได้ว่าจงใจลืมเขียนชื่อในตั๋วและก็จงใจลืมนึกขึ้นได้อีกว่า
มันยัง เช้าอยู่ แฮะ ๆ เราก็เลยขายตั๋วต่อในราคาแค่ 25 ยูโรแก่สองหนุ่มที่กำลังจะซื้อตั๋ว (การขาย
ต่อ เป็นเรื่อง ปกติในเยอรมัน มีกฎหมายกำหนดเรื่องนี้เอาไว้) Köln นั้นเป็นเมืองใหญ่ เมืองแห่ง
แฟชัน Deutschland superstar ก็ประกวดกันที่นี่ และเป็นชุมทางรถไฟ ที่นี่ต้องรู้เอาไว้ว่าห้องน้ำ
นั้นเป็นของเอกชนดังนั้น เบา 60 หนัก 1.10 ยูโร ส่วนผู้หญิงแท้จริงแสนลำบากเพราะราคาเดียวหมด
และที่สำคัญร้านอาหารต่าง ๆ จะไม่มีห้องน้ำบริการ(ที่ Düsseldorf แค่ห้าบาทเท่านั้น ที่หมอชิต
สามบาทสะอาดด้วย มาบุญครองสอง บาทมีฝักบัวชำระด้วย) แม้แต่ร้าน Mc
พอลงจากรถไฟได้พวกเราก็ไม่รีรอลากกระเป๋าออกจากสถานีรถไฟตรงรี่ไปยังโบสถ์และพยายามเก็บ
รูป โบสถ์ให้หมดซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะตัวโบสถ์ทั้งสูงทั้งใหญ่
ดีที่สุดก็ได้แค่รูปข้างบน พอถ่ายข้างนอกเสร็จเราก็ย้ายเข้าไปหลบหนาวด้านใน บรรยากาศภายใน
โบสถ์ มันก็เหมือนกันทุกที่แหละ เงียบ ๆ สงบ ๆ และรูปข้างล่างคือกระจกสีที่สวยงามมากทีเดียว
จริง ๆ ตาม ทำเนียมก็คือต้องเดินวนหนึ่งรอบดูสิ่งสวยงาม แต่เจ้าหนูน้อยก็เริ่มอาการปวดอึ และเนื่อง
จากแซนมาบ่อย แล้ว เมื่อหมาปวดอึเราก็จำเป็นต้องหาที่อึให้หมาก่อนเป็นการด่วน
เราย้ายฐานทัพจากร้าน Mc ในสถานีรถไฟไปยังร้าง Mc ข้างนอกด้วยเหตุผลของห้องน้ำแล้วก็ปล่อย
น้องแซนนั่งรอ (เธอเคยเที่ยวจนเบื่อแล้ว)ตัวผมกับภรรยาและเจ้านีรก็ออกตระเวณถ่ายรูปได้พักหนึ่ง
คุณภรรยาก็ไปซื้อ BergerKing เพื่อไว้เป็นเสบียงในมื้อต่อไป (มันถูกกว่า Mc ในแง่ของคุณภาพ)
ส่วนตัวผมก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหมานีรเพื่อทำภารกิจที่คงไม่มีใครในโลกใบน้อยนี้ได้ทำอีกแล้ว
เจ้าตัวน้อยในสภาพปลดปล่อย มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่เด็กน้อยวัยสามขวบที่ยังทำใจนั่งอึในห้องน้ำ
ไม่ได้ แล้วต้องมายืนปล่อยใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปหน้าโบสถ์ที่สูงที่สุดในโลก และที่สำคัญอุณหภูมิภาย
นอกขณะนี้ เฉียด ๆ ศูนย์องศาและลมแรงทุกครั้งที่สายลมผ่านมามันก็จะแทรกผ่านเข้าเสื้อกันหนาว
ไปทักทายผิวกาย ของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาทุกครั้ง คงเป็นเพราะว่าอากาศหนาวน้องนีรก็เลยทำ
ปฎิบัติการไม่สำเร็จ พอเวลา กระชั้นเข้ามาใกล้เวลานัดผมจึงต้องอุ้มเจ้านีรวิ่งฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ
กลับไปยังจุดนัดพบ กว่าจะไป พร้อมหน้ากันน้องแซนก็นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้แล้ว ช่วงที่เราเริ่มออกเดิน
ทางนั้นเริ่มสาย ผู้คนจากที่บางตาก็เพิ่ม จำนวนขึ้นมาเป็นทวีคูณทำให้สภาพเมืองดูสับสนวุ่นวายไป
หมด
จาก Köln เราก็เปลี่ยนจากรถ RE ที่สุขสบายไปเป็นรถ ICE ที่สุขสบายกว่า ตรงไปยังประเทศเล็ก
ๆ ระหว่าง การเดินทางนั้นมีทั้งฝน ทั้งหิมะ แต่โชคดีที่เรานั่งอยู่ในรถไฟเลยไม่ได้รู้สึกอะไรทิวทัศน์
รอบด้านของเส้นทาง ที่ผ่านก็เป็นอีกเรื่องที่น่าพูดถึงเพราะสวยงาม มีหุบเข้า แม่น้ำ
บ้านเรือน จนทำให้รู้สึกว่าจาก Köln ไปยัง Luxembourg นี้ไม่ได้ยาวนาน จากเมืองที่สับสนวุ่นวาย
ผ่าน บ้านเรือนที่สงบในชนบท ก็มาถึงประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรสูงที่สุดประเทศหนึ่งใน
โลก แต่ สถานีรถไฟระดับประเทศก็แสดงให้เห็นถึงความห่วยระดับประเทศ
นี่ให้ความรู้สึกทันทีว่าเราออกจากประเทศเยอรมันแล้ว ก่อนออกจากสถานีรถไฟที่ดูเหมือนยังสร้าง
ไม่ เสร็จมาหลายปีแล้ว เราก็จองตั๋วรถไฟไปเบลเยี่ยมก่อน ที่นี่แปลกเพราะว่าตั๋วจะแยกเป็นใน
ประเทศ และต่างประเทศ (ในเยอรมันจะมีจุดเดียวรวมกันหมด กดจากตู้เองก็ได้ นอกจากนั้นเจ้าหน้า
ที่จะรู้ข้อมูล ทั้งหมดเป็นอย่างดี) คนไม่เคยมาก็จะงงและที่นี่เองเราได้ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี เพราะ
เจ้าหน้าที่คนแรก ที่เราติดต่อด้วยไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ท่าทางเหมือนคนเมาทำให้สื่อสารกันไม่
ค่อยรู้เรื่องและเรา ก็ได้ตั๋วผิดมา (เจ้าหน้าที่ตัดสินใจออกตั๋วให้โดยที่ใช้ดุลยพินิจส่วนตัวโดยไม่ยอม
สื่อสารกับผู้ซื้อและเจ้า หน้าที่คนนี้ก็มีปัญหากับลูกค้าทุกคน) น้องแซนกับผมก็เลยต้องกลับเข้าไป
เปลี่ยนตั๋ว โดยต้องลุ้นตัวเกร็ง ว่าไม่ให้เจอคนเดิม ปรากฎว่าโชคดีที่คนใหม่เป็นมิตรมากขึ้นและทำการเปลี่ยนตั๋วให้โดยไม่มีปัญหา
หลังจากซื้อตั๋วแล้ว เราต้องเดินอ้อมออกไปอีกไกลทีเดียวเพื่อไปเก็บกระเป๋าในตู้รับฝากของ(มีทั่วไป
ใน ยุโรป) และเป็นครั้งแรกที่เจอตู้รับฝากของอยู่นอกตัวสถานี ดีอย่างเดียวคือถูกกว่าที่อื่น ตอนเดิน
ไปฝาก กระเป๋าเจ้าน้องนีรอาสาลากกระเป๋าให้อีกห้าเมตรก็จะถึงที่ฝากกระเป๋าอยู่แล้ว ผมก็หันไป
ถามลูกว่า "จะให้ช่วยไหม" (เป็นภาษาเยอรมัน) แทนที่จะได้รับคำตอบเดิมว่า "หนาย" (ไม่ ภาษา
เยอรมัน) คราวนี้ น้องหมามาแปลกตอบ "หย้า" ชัดถ้อยชัดคำ ผมหัวเราะก่อนจะไปรับกระเป๋าลากมา
เรื่องนี้ไม่ค่อย เกิดกับเราบ่อยนัก เพราะน้องนีรนั้นแข็งแรงมาก ๆ เดินได้เป็นวัน ๆ ไม่มีเหนื่อย
ประเทศเล็กแห่งนี้นอกจากสถานีรถไฟที่แย่ ๆ แล้ว ก็มีแต่สิ่งสวยงามเต็มไปหมด บ้านเรือนนั้นสร้าง
อยู่ ในหุบเขา ช่องผา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าคนที่จะอยู่ที่นี่ได้นั้นต้องมีเงิน น้องแซนให้เคยมา ที่นี่
แล้ว เธอบอก ว่าเงินเดือนนักวิจัยหลังปริญญาเอกก็มากกว่าเงินเดือนศาสตราจารย์ในเยอรมันตั้งเยอะ
สำหรับตอนนี้ขอจบด้วยรูปบ้านเรือนของชาว Luxembourg เท่านี้ครับ พบกันใหม่คราวหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น