West Germany – Luxemburg – Belgium Trip - ตอนที่ 5
- West Germany - Luxemberg - Belgium Trip - ตอนที่ 4
- West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 3
- West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 2
- West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 1
ก้าวแรกสู่เมืองหลวงของยุโรปแห่งนี้ไม่ค่อยประทับใจนัก ผมจับมือเจ้าน้องนีรแสนซนไว้แน่น ไม่มี
อะไรพอ เป็นสัญญาณแห่งความปลอดภัยได้เลย ผมและแม่น้องนีรเดินไปก็นึกภาพสถานี Gare Du
Nord ที่ปารีสในใจ สถานี Brussels-Central นั้นกว่าจะขึ้นไปข้างบนได้จะต้องเดินตามทางซึ่งทั้ง
เงียบ เปลี่ยว และเหม็น เราได้ส่งข้อความบอกน้องปูปลาเรียบร้อยแล้วว่าไม่ต้องลงมารับข้างล่าง
เพราะเราสี่ชีวิตยังไงก็มากกว่า ยิ่งมากยิ่งปลอดภัย
เมื่อได้พบหน้ากันสองสาวคือภรรยาผมและน้องปูปลาก็โผเข้ากอดกันตามภาษาคนไม่ได้เจอกันนาน
และ สาวไทยหนึ่งเดียวที่มารับเราก็พาเราไปยังที่พักหรู ๆ ของเธอ เส้นทางก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินและ
ไปต่อรถราง การเดินทางใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงรวมระยะเวลารอรถด้วย ป้ายบอกสถานีที่นี่จะมี
ทั้งหมดสามภาษา คือฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ แล้วก็ภาษาอังกฤษ ด้วยสาเหตุที่ว่าคนในประเทศนี้มี
ประเทศแม่ต่างกันและไม่ถูก กัน (คล้าย ๆ กับคนไทยเวลานี้ ที่ถือหางนักการเมืองต่างค่ายก็ไม่ถูก
กัน) กล่าวคือคนที่มีประเทศแม่เป็น ฝรั่งเศสก็จะพูดภาษาฝรั่งเศส ส่วนคนที่มีประเทศแม่เป็น
ฮอลแลนด์ก็จะพูดภาษาฮอลแลนด์แดนกังหันลม ในขณะที่คนทั้งสองฝั่งถ้าจะสื่อสารกันก็จะใช้ภาษา
อังกฤษ
นอกจากความแปลกของป้ายตัวหนังสือ ป้ายบอกเวลารถไฟฟ้าใต้ดินของที่นี่ก็แปลกไม่แพ้กัน ตอน
นั้นไม่มีจิตใจจะถ่ายรูป รู้แต่ว่ารถไฟหลาย ๆ สายที่ผ่านเข้าสถานีนั้นเมื่อถึงจุดตรงกลางก็จะสว่าง จุด
ที่ห่างออกไป ก็จะห่างออกไปเป็นนาที กว่าจะเข้าใจก็ปาเข้าไปวันที่สองแล้ว ด้วยความที่ผมเป็น
หนุ่มใหญ่คนเดียวใน กลุ่มและมีหน้าทีดูเจ้านีร ผมจึงไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกันสถานีที่จะลงเท่าใด
นัก พอลงจากรถไฟใต้ดินได้ ก็ต้องไปต่อรถราง ซึ่งคราวนี้ไม่มีป้ายบอกเวลา ดังนั้นจะรอนานแค่ไหนก็
วัดดวงกันเอาเอง แย่จริง ๆ
อีกเรื่องที่ประหลาดก็คือเรื่องการบันทึกเวลาตั๋ว สำหรับรถไฟใต้ดินนั้นต้องบันทึกที่สถานีด้านนอก ถ้า
ลืม ก็ต้องเดินย้อนไปกดใหม่ถ้าไม่อยากเจอตรวจแล้วเสียค่าปรับ ในขณะที่รถรางซึ่งใช้ตั๋วแบบเดียว
กันนั้นจะ มีเครื่องบันทึกในตัวรถ ไม่จำเป็นต้องทำที่สถานี สำหรับตั๋วที่เราใช้ก็เป็นตั๋วแบบเหมาสิบ
เที่ยว ราคาก็ประหยัดลงไปหน่อย (จำไม่ได้แล้ว เข้าใจว่าราคาลดแล้วประมาณเที่ยวละหนึ่งยูโร)
ย่านที่น้องปูปลาอยู่นั้นเป็นย่านคนดูดีมีเงิน ที่พักของน้องปูปลาก็เลยดูดีมีระดับไปด้วย ขณะเดินทาง
น้องสาวคนสวยของเราแทนที่จะเยินยอประเทศที่เธออยู่ เราก็ได้ยินแต่คำบ่นตลอดเส้นทาง เมื่อถึง
ห้องพัก แล้วทุกคนก็ทำธุระส่วนตัว แบ่งหน้าที่กันดูแลเรื่องเที่ยววันพรุ่งนี้ โดยน้องปูปลาก็ได้ยกห้อง
นอนของเธอให้ครอบครัวเราสามพ่อแม่ลูกเป็นที่หลับนอน ในขณะที่น้องแซนกับเจ้าของบ้านนั้นนอน
ห้องรับแขก ช่างดีอะไรเช่นนี้ (อนึ่งน้องปูปลาจะแต่งงานในเร็ววันนี้แล้ว ขอให้มีความสุขมาก ๆ ครับ)
สภาพตอนกลางวัน
ตอนเช้าเจ้าของบ้านก็โชว์ความเป็นแม่ศรีเรือนต้มโจ๊กแบบไม่สำเร็จรูปให้พวกเราซึ่งเป็นแขกกิน
ก่อนออกเที่ยว สำหรับวันนี้ตามแผนคือไปเที่ยว Brugge เมืองมรดกโลกที่แขกใครไปมาก็ต้องแวะ
มาที่นี่ ถ้ามีเวลาเหลือก็อาจจะแวะเที่ยวเมืองอื่น ๆ ตอนขากลับอีก
เมื่อข้อมูลต่าง ๆ ไม่ชัดเจน นักเดินทางก็จะทำหน้าอย่างที่เห็น
การเดินทางเที่ยวนี้จะต้องซื้อตั๋วระหว่างเมือง เราเลือกตั๋วแบบสิบเที่ยวซึ่งจะนั่งไปไหนก็ได้ใน
ประเทศ ซึ่งเรามีกันสามผู้ใหญ่ไปกลับก็หกเที่ยว วันถัดมาสามารถใช้ไปสถานีชายแดนเพื่อข้ามไป
เยอรมันได้อีก
เพื่อนร่วมทางไปเมืองมรดกโลกนั้นส่วนใหญ่ก็มาจากทั่วยุโรป เราจึงได้ยินเสียงบ่นเป็นภาษาอังกฤษ
ถึงเรื่องสภาพที่ย่ำแย่ของสถานี Brussels-Central โชคดีที่รถไฟค่อนข้างใหม่ แต่โชคร้ายคือไม่มี
ป้ายบอกสถานีผู้โดยสารจะต้องคอยเดา เอาเป็นว่ารถไฟได้พาเราสี่ชีวิตไปถึงเมืองมรดกโลกที่สวย
งามก็แล้วกัน
หนุ่มน้อยทำมือรูปหัวใจแก้เบื่อขณะเดินทาง
ขณะเดินทางนั้นอากาศดีมาก มีแดดสดใสตลอดทาง เมื่อรถไฟจอดสถานีใหญ่ก็มีคนลงเป็นระยะ ๆ ผู้
มาเยือนอย่างเราก็ต้องคอยผุดลุกผุดนั่งดูป้ายสถานีว่าเลยหรือยัง สุดท้ายเมื่อเวลาได้ผมก็เลยทำใจ
กล้าไปถามเจ้าพนักงานว่า “ที่นี่ที่ไหนแล้ว ใช่บรูคหรือเปล่า” เจ้าหน้าที่ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ไม่ใช่ที่นี่
บรูคเคอะ” ผมทำหน้างง ๆ “อ๋อบรูคเคอร์แล้วเหรอ” เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ที่นี่บรูคเคอะ”
ผมยิ้งแฮะก่อนจะเดินกลับมาบอกเพื่อนร่วมทางว่า “เดี๋ยวดูป้ายเอาเองแล้วกัน”
สภาพอากาศตอนเริ่มเที่ยวนั้นดูดีทีเดียว เพียงแต่ว่ามันหนาวไปเยอะ ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์ชมนกชม
ไม้เท่าไหร่ และนี่คือประตูเบิกทางสู่เมืองมรดกโลกเมืองนี้
แต่สวยอย่างไรผมไม่สนหรอกนะมีของกินแล้ว
เราก็เดินทางแผนที่เก่าแก่ที่น้องปูปลามอบให้มา โดยโปรแกรมก็คือเดินให้รอบส่วนที่เป็นมรดกโลก
และการมาเมืองนี้สิ่งที่คุณจะได้เจอก็คือ
เรือชมรอบเมือง ม้า แล้วก็ห่าน
และสิงที่ขาดไม่ได้สำหรับเมืองนี้ก็คือ ช็อคโกแล็ต และผ้าลูกไม้
นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อคโกแล็ต การเจียไนเพชร และก็โบสถ์ต่าง ๆ ให้เลือกชม ซึ่งเมืองใน
ส่วนนี้เป็นเมืองด้านนอก ซึ่งยังมีเมืองด้านในที่สวยงามอีกเยอะ ไว้ต่อตอนหน้าแล้วกัน
ผมขอพักด้วยไอ้นี่ก่อนแล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น