วันศุกร์, สิงหาคม ๐๘, ๒๕๕๑

West Germany – Luxemburg – Belgium Trip - ตอนที่ 6

มาติดตามการท่องเที่ยวของเราสามพ่อแม่ลูกยังต่างแดนกันต่อ ก่อนที่สายลมแห่งกาลเวลาจะพัดเอา
ความทรงจำเหล่านี้ให้หายไป เพราะมีเรื่องเที่ยวอีกหลายอันรออยู่  ใครยังไม่เคยอ่าน ก็อ่านตอน
เก่า ๆ ได้ตามลิงค์ข้างล่าง

  1. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 5
  2. West Germany - Luxemberg - Belgium Trip - ตอนที่ 4
  3. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 3
  4. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 2
  5. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 1

เอาเป็นว่าผมของเรียกเมืองมรดกโลกแห่งนี้ว่าบรูคแล้วกัน หลังจากชมนกชมไม้ได้สักพัก เราก็เดิน
ตามแผนที่ไปหาจุดที่เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวตัวจริง เดินไปไม่เห็นอะไรนอกจากตึกรามบ้าน
ช่องแบบยุโรปเก่า ๆ และทันในนั้นก็โผล่จากตรอกมาเจอไอ้นี่

ดูด้วยตากับมองผ่านรูปภาพอาจจะผิดกันเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะสี ถึงตรงนี้พวกเราพักเติมพลังด้วย
อาหาร จานด่วน ไม่ใช่ว่าชอบแต่มันถูกที่สุดเท่าที่จะหารับประทานได้ วันที่ไปจตุรัสนี้มีงานวัดพอดี
น้องนีรก็เลยได้ ทำดื้อของเล่นม้าหมุนหนึ่งรอบ หลังจากนั้นคุณลูกก็เริ่มไม่สนุกด้วยเหตุผลของข้าศึก
กำลังทลวงฟันจะทะลัก ผ่านก้นให้ได้ น้องนีรเลยต้องใช้พลังส่วนใหญ่หรือจะทั้งหมดไปต่อสู้ ด้วย
อากาศหนาวแล้วความกดอากาศที่ต่ำพร้อมให้หิมะตกลงมาได้ ผู้ใหญ่เองก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เสื้อ
กันหนาวแต่ไม่กันลมที่หนาซะเปล่าของผมดูมีค่าไม่ต่างจากเสื้อบาง ๆ เท่าไหร่นัก เราพยายามมอง
หาห้องน้ำแล้วลุ้นให้เจ้าตัวน้อยพ่ายแพ้ให้แก่ข้าศึกอย่างใจจดใจจ่อ

เด็กชายวัยสามขวบ ผู้ไม่พิศมัยการเข้าห้องน้ำ ในที่สุดก็ได้พ่ายแพ้แก่ข้าศึกท่ามกลางสิ่งก่อสร้างที่
สวยงามผู้เป็นพ่อนั้นได้แต่มองซ้ายมองขวา มิใช้ตื่นเต้นกับความสวยงาม แต่หาห้องน้ำเพื่อทำความ
สะอาดตูดให้ลูกน้อย ผู้เป็นแม่ดูจะหงุดหงิดไม่ใช่น้อย หนาวก็หนาว คนก็แยะ แถมเราก็อดเกรงใจ
น้องแซนไม่ได้ ที่เธอมาลำบากกันเรา

ท่าเบ่งอึเป็นนายกฯ เมื่อไหร่จะเอาไปเผา

โชคดีที่มีห้องน้ำและที่เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป ถึงแม้จะต้องเสียเงินหลายสิบบาท แต่คุณยายคนเฝ้า
ก็ใจดียิ่ง

น้องแซนทำหน้ากลม ดูแผนที่ในขณะที่คอยน้องนีรปลดปล่อย

หลังจากอึเสร็จ เจ้าลูกชายของเราก็อารมณ์ดี ยอมเก็กท่าให้ถ่ายรูปอยู่เป็นนานสองนาน

สิ่งก่อสร้างข้างหลังจะเห็นได้ว่าสีซีดไปถนัดตา

เมื่อเดินชมสถานที่ต่าง ๆ จนอิ่มใจกันแล้ว เราก็เดินทางกันต่อ ระหว่างที่เดินทางนั้นก็มีบ้านเรือน
สวย ๆ ให้ชมกัน ผมเองร้องขอให้ไปหาทำเลดี ๆ ถ่ายรูปบ้านริมคลองกันหน่อย ระหว่างที่เดินทางนั้น
เราก็พบกับร้านอาหารร้านนี้ สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1561 แนะ 

บ้านคนรวยสมัยก่อนต้องสร้างด้วยอิฐนะ พวกคนจนสร้างด้วยไม้

น้องแซนได้อธิบายว่า ที่เราเห็นเป็นตัวเลขนั้นจริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์หลักมิได้ทำไว้เพื่อบอกว่าบ้าน
สร้างเมื่อไหร่ ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะมีเหล็กที่ทำหน้าที่เหมือนลวดผูกติดอยู่ด้วย เหล็กที่นำหน้าที่
เหมือนลวดนี้จะทำหน้าที่ในการยึดผนังทั้งสีด้านของบ้านเอาไว้ ถ้าเราตัดลวดที่ว่านี้ออกบ้านก็จะแบะ
ออก น่าสนใจดี

วันที่เราไปนั้นนอกจากหนาวแล้ว หิมะก็ตกด้วย (ก่อนหิมะตก และช่วงที่หิมะตกนั้น อากาศจะแย่มาก
ๆ) แม่น้องนีรร้องบอกผมว่าให้รีบหาที่ถ่ายรูปได้แล้ว ปรากฎว่าสุดท้ายผมก็หาที่ถ่ายรูปไม่ได้ จนหิมะ
เปลี่ยนหน้าตาเป็นฝนนั่นแหละ เจอคลองที่ไหนก็เลยถ่ายที่นั่นรูปก็เลยไม่ได้บ่งบอกอะไร

 

เส้นทางระหว่างเดินทางกลับ

เมื่อฝนตกเราก็เลยตรงรี่ไปจุดที่สามารถขึ้นรถเมล์ได้เพื่อจะได้ต่อรอเมล์ไปยังสถานีรถไฟต่อไป จาก
รูปข้างล่างก็จะเห็นได้ว่าฝนตกหนักมาก และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราทำได้แค่มองผ่านทางหน้าต่างรถ
เมล์

พวกเราพาตัวเองในสภาพหนาวเหน็บเรามานั่งคอยที่สถานีรถไฟ แล้วก็นั่งรถไฟกลับไปยังเมืองหลวง
ยุโรปโดยมิได้แวะไหนอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ เพราะเหนื่อยกันมากแล้ว อีกอย่างเราได้นัดน้องปูปลาเจ้า
ของบ้างไว้ตอนทุ่มครึ่ง  เลยตัดสินใจจะแวะเที่ยวที่ตัวเมือง Brussels ซักพักเพื่อพิสูจน์คำพูดของ
น้องปูปลาว่าห้านาทีจบจริงไหม

จุดที่เราโผล่ขึ้นมานั้นคือบริเวณนี้ เป็นห้าแยกที่มีทั้งขึ้นเขาลงเนิน ถนนก็แคบ ๆ เหมือนกันทำให้จับ
ทิศไม่ถูกสุดท้ายก็ต้องไปพึ่งแผนที่ที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งป้ายก็ดีใจหายแนะนำให้เรากับบ้านดีกว่า เพราะ
มันไม่ได้บอกอะไรเราเลย สุดท้ายก็กลับบ้านไปนอนพักเอาแรง

ตอนหน้าฟ้าใส ผมจะพาไปเที่ยวสิ่งก่อสร้างที่ถูกกันว่าใครมาเบลเยี่ยมแล้วไม่ได้มา ก็ต้องมาใหม่
และน้องนีรได้สัญญากับผมในตอนเช้าก่อนเที่ยวว่าไม่มีอึนอกสถานที่อีกแน่นอน เป็นอันว่าตอนนี้ก็จบ
ลงแบบไม่มีอะไรแค่มีให้ผ่านไปสู่ตอนจบเท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: