วันพฤหัสบดี, สิงหาคม ๒๑, ๒๕๕๑

West Germany – Luxemburg – Belgium Trip -- ตอนที่ 7

 

มาติดตามการท่องเที่ยวของเราสามพ่อแม่ลูกยังต่างแดนกันต่อ  ตอนนี้ให้ชื่อว่าฟ้าสวยที่หนาวเหน็บ
ใครยังไม่เคยอ่าน ก็อ่านตอนเก่า ๆ ได้ตาม ลิงค์ข้างล่าง

  1. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 6
  2. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 5
  3. West Germany - Luxemberg - Belgium Trip - ตอนที่ 4
  4. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 3
  5. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 2
  6. West Germany - Luxemburg - Belgium Trip - ตอนที่ 1

หลังจากที่วางแผนกันเมื่อคืน  โดยการบังคับของผมคือต้องไป Atomium ให้ได้ เพราะใครมาที่นี่แล้ว
ไม่ได้เยี่ยมชมสิ่งนี้ก็ต้องกลับมาใหม่ ไม่น่าเชื่อว่า Atomium จะถูกสร้างไว้ตั้งแต่ปี 1958

มุมถ่ายรูปโหล ๆ ที่แขกไปใครมาก็ต้องถ่ายรูปนี้

ปกติถ้าใครมากับทัวร์ เขาก็คงจัดให้มาเยี่ยมชมที่นี่ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของ Brussels  แต่ถ้า
ใครมาเที่ยวบ้านน้องปูปลาก็ง่ายมาก แค่ขึ้นรถรางสายที่มาบ้านเธอ แล้วก็ไปนั่งต่อไปจนสุดสายซึ่ง
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีจากบ้านน้องปูปลา ไม่น่าเชื่อที่ปูปลาอยู่มาเป็นปีแต่ไม่เคยมาที่นี่เลย

จุดหมายน่าตื่นเต้นแต่เส้นทางผ่านก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะมีสถานที่พอเที่ยวได้อยู่เต็มตลอดสอง
ข้างทาง พอใกล้จุดหมายผมก็เริ่มนั่งไม่ติดก้น ไม่ใช่ปวดอึหรือปวดฉี่ เพราะด้วยขนาดของ Atomium นั้น ถึงตอนนี้เราควรจะได้เห็นมันแล้ว แต่นี่ยังไม่เห็นเลย หรือว่ามันเล็กมาก

พอใกล้จะถึง เราก็ได้เห็นศิลปะข้างถนนที่งามตายาวหลายสิบเมตร ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นศิลปะ
ข้างถนน พอรถรางเลี้ยวออกจากอุโมงค์ที่มีศิลปะข้างถนนนี้เราก็จะได้เห็น Atomium ที่ตั้งเด่นอยู่
พอรถผ่านหน้า Atomium ผมก็จะเตรียมลงแต่รถก็เลยไปอีกไกลใจหวิวเล็กน้อย เพราะเวลาเราไม่
ค่อยมี แต่แล้วรถก็ไปจอดป้ายสุดทาง สุดทางที่เต็มไปด้วยสถานที่ปลายทาง ทั้ง Atomium ทั้ง
สวนสนุก

เมื่อถึงที่หมาย สิ่งที่ภรรยาผมกลัวก็คือกลัวน้องแซนจะไม่อยากมา เพราะดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผม
อยากดูแต่ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ อยากดูหรือเปล่า ปรากฎว่าน้องแซนกลับดูเริงร่าผิดปกติ จากสภาพ
สาวเงียบที่ดูไม่ออกมาคิดอะไรอยู่ เธอกลับตื่นเต้นควักกล้องออกมาถ่ายรูปแทบจะทันทีที่นึกออก
(ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยแสดงท่าทางอยากถ่ายรูปนัก) นอกจากนั้นวันนี้เป็นวันฟ้าใส หลังจากที่
อากาศแย่ ๆ มาตลอดการเดินทาง

ภาพของสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลก ซึ่งไม่บอกก็ต้องรู้ว่าคนออกแบบชอบโครงสร้างอะตอม ถ้าดูจาก
ขนาดของลูกบอลสีเงินกลมขนาดใหญ่ที่ภายในบรรจุห้องแสดงศิลปะต่าง ๆ แล้ว ก็น่าจะนับเป็นสิ่ง
ที่น่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะมันสร้างมาแล้วห้าสิบปี

เราไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะว่าค่าเข้านั้นแพงไม่ใช่น้อย และเวลาก็ไม่เอื้ออำนวยให้เราอยู่ในตัว
อะตอมได้นานจนคุ้มค่าเข้า ดังนั้นก็ไม่เข้าแล้วไปถ่ายรูปโดยรอบแทน (ของที่ระลึกก็ไม่ซื้อเพราะ
แพงจริง ๆ)

ขนาดใกล้ ๆ เทียบกับคน จะเห็นได้ว่ามันมีขนาดใหญ่มาก ๆ

อีกด้านหนึ่งของ Atomium

เราใช้เวลาอยู่กับ Atomium ราวชั่วโมงกว่า แล้วก็นั่งรถรางสายเดียวกันกลับไปที่บ้านของน้อง
ปูปลาเพื่อจัดเก็บข้าวของก่อนเดินทางต่อไป

เมื่อวานเราพยายามหาทางไปจตุรัสกลางเมืองของ Brussels กันเองแต่ต้องคว้าน้ำเปล่าเพราะ
ไปไม่ถูก วันนี้น้องปูปลาพาเดินจากสถานีรถไฟไปนิดเดียวก็โผล่ที่จุดหมาย ซึ่งจุดหมายแรกก็
คือถนนช็อปปิ้งที่มีหลังคาแห่งแรกในยุโรป

 

จริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่มีหลังคาครอบตึก เราเลยไม่เข้าไปข้างในแค่ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
เท่านั้น จากนั้นเราก็เดินไปเรื่อย ๆ แบบสบายอารมณ์เพราะเจ้านีรหลับ ที่สบายอารมณ์เพราะไม่ต้อง
คอยกลัวลูกหาย ว่าแล้วก็เลยชวนคุณแม่ถ่ายรูปกับรูปปั้นคนนี้ซะหน่อย (เข้าใจว่าที่ยุโรปการสร้าง
รูปปั้นโลหะไว้ตามสวนสาธารณะนั้น เป็นเรื่องที่กระทำกันเป็นปกติ) เห็นคนถ่ายรูปกับรูปปั้นนี้กันเยอะ
พอคนว่างก็จัดให้คุณแม่ถ่ายด้วยซะเลย

กว่าจะถ่ายรูปนี้ได้ต้องคะยั้นคะยออยู่นาน

ขณะเดินนั้นอากาศยังดีอยู่ แต่มีแววว่าหิมะจะตกเหมือนกัน เราไม่ได้รีบจ้ำกันซะเท่าไหร่เพราะ
มีเวลาเหลือเฟือ เดินไปอีกนิดก็เจอ

เราทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี คือเก็บไว้แต่ภาพถ่ายเท่านั้น ความรูปประกอบไม่ได้เก็บไปด้วย
ไม่รู้จะเก็บไปทำไมเหมือนกัน แต่ก็รู้ว่านี่คือจตุรัสกลางเมือง

ซึ่งสวยงามทีเดียว รายละเอียดเยอะแยะไปหมด เป็นอันว่าเราได้ทำสิ่งที่สองของการเที่ยวเมืองใน
ยุโรปแล้วคือ สถานีรถไฟ โบสถ์ใหญ่หรือจัตุรัสกลางเมือง ที่เหลือคือกินอาหารพื้นเมือง แต่ช้าก่อน
เราไม่ไปกินหอยแมงภู่อบให้เปลืองเงินหรอกนะ กลุ่มของเราสรุปว่ากินหอยสำคัญที่น้ำจิ้ม และที่
บ้านเราหมายถึงที่เยอรมันก็หากินได้แล้วกินมาแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องกินไอ้นี่แก้หิวที่ร้านที่ดังที่สุด
ใน Brussels ไอ้ที่ว่าคือ Waffle เนื้อแน่นแนวเบลเยี่ยมเขา และร้านนี้แหละดังที่สุด

น้องปูปลาเล่าว่าปกติไม่ได้กินหรอกนะ คนต่อแถวยาวมาก เผอิญวันนี้ท่านนีรมาคนก็เลยหลบ
ให้ พวกเราเลือกแบบที่มีผลไม้เยอะ ๆ ราคาก็ 4 ยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ใจหายคือสองร้อย

คุณแม่น้อยนีรทำสิ่งที่น้อยคนนักจะได้ทำ คือกิน Waffle ท่ามหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก

ช่วงนี้เองที่เจ้านีรตื่น และไม่ยอมกิน Waffle ผู้พ่อก็ต้องบากหน้าไปซื้อไอศครีมที่อร่อยที่สุดในร้าน
เค้าให้เจ้าหมาน้อยอีก จากนั้นเราก็พากันตากหิมะไปหาเจ้าเด็กยืนฉี่ที่ดังที่สุดในโลก

การเดินทางไปหาเด็กฉี่ก็แค่เดินตรงไปจากร้านขาย Waffle ที่ดังที่สุดใน Brussels พอผ่าน
มุมตึกเราก็จะเห็นรูปปั้นเล็ก ๆ ที่เล็กจริง ๆ เป็นเด็กจับจู๋ยืนฉี่อยู่ แล้วเราก็ได้ทำในสิ่งที่น้อยคน
จะได้ทำอีกแล้วคือ

ถ่ายรูปหิมะ โดยมีสามสาวเป็นฉากหลังหน้าเด็กยืนฉี่ พอถ่ายเสร็จทุกคนก็รีบวิ่งไปหาที่หลบความ
หนาว โดยการเข้าไปยังร้านขายของที่ระลึก แล้วก็จัดแจงซื้อของที่ระลึกเพื่อฝากคนอื่นให้ครบ แต่
เราก็ไม่ลืมที่จะซื้อจานเล็ก ๆ ซึ่งเราสะสม ตอนนี้มีหลายอันแล้ว ใครไปใครมาถ้านึกได้ก็ซื้อจานมา
ฝากด้วยเน้อ

พอซื้อของเสร็จก็ได้เวลาต้องรีบจ้ำเดินทางไปสถานีรถไฟตามแผนที่วางไว้ ซึ่งขากลับนี้คุณแม่เดิน
นำตลอด ในขณะที่คุณพ่อก็ช้าอีกตามเคย

ตอนต่อไปจะเป็นตอนจบ ซึ่งมีเรื่องให้ตื่นเต้นมาก ๆ เป็นเรื่องที่ทำให้เราไม่มีใครกล้าหลับบนรถไฟ
เลย คอยติดตามนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: